ชื่อของบทความนี้
ดูแปลกๆ ในภาษาไทย เพราะ คำว่า “สหาย” ไม่น่าจะเป็นลักษณะนามได้ ชื่อของบทความน่าจะเป็น “ภิกษุ 2 รูป”
อย่างไรก็ดี
ข้อความที่ว่า “ภิกษุสองสหาย” นั้น รู้จักกันดีในแวดวงของพุทธวิชาการ
ผมก็เลยใช้ชื่อนั้นตาม เพราะ ถ้าไปใช้ชื่ออื่น
คนอ่านอาจจะนึกว่าเป็นคนละเรื่องกัน
เรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกอย่างหนึ่ง
คือ ผู้ที่นำมาเผยแพร่มักจะเป็นพุทธวิชาการหรือนักปริยัติ ไม่ใช่พระนักปฏิบัติ
ผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า
“มันแปลกในเรื่องใด” เพราะ นักปริยัติเขาก็มีหน้าที่อย่างนั้น คือ นำคำสอนของพระพุทธเจ้าออกมาเผยแพร่
ขอให้ผู้อ่านอ่านไปก่อนก็แล้วกัน
ผมจะเฉลยในตอนท้าย เรื่องนี้นำมาจาก พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑
ภาค ๒ ตอน ๑-หน้าที่ 209
เรื่องกล่าวถึงว่า
มีชาวเมืองสาวัตถี 2 คน ชื่อ วิปัสสกะกับ คันถิกะ ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกัน เมื่อได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้าแล้วเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า
ถึงกับออกบวชทั้งสองคน
พระวิปัสสกะบวชแล้ว
ก็ออกป่าประพฤติตามพระปฏิบัติธรรม ไม่นานก็บรรลุพระอรหันต์ วิปัสสกภิกษุ ผู้นี้ต่อมาก็มีผู้มาเรียนด้วย
และสำเร็จพระอรหันต์ตามเป็นจำนวนมาก
พระคันถิกะบวชแล้ว
ไม่ออกป่า แต่เลือกเรียนปริยัติอยู่ในเมือง ร่ำเรียนพระไตรปิฎกจนเป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็อย่างเช่นพุทธวิชาการหรือนักปริยัติในเมืองไทยนี้แหละ
พระคันถิกะก็มีศิษย์ของตนเองเป็นจำนวนมาก
พระอรหันต์ผู้เป็นศิษย์ของพระวิปัสสกะ
เมื่อได้บรรลุมรรคผลแล้ว ก็มักจะลาอาจารย์เพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ากับอสีติสาวก พระวิปัสสกะก็สั่งให้ไปเยี่ยมพระคันถิกะเพื่อนของท่านด้วย
ในอรรถกถามีข้อความดังนี้
พระเถระกล่าวว่า “ไปเถิด ผู้มีอายุ, ท่านทั้งหลายจงถวายบังคมพระศาสดา
นมัสการพระมหาเถระทั้ง ๘๐ รูป ตามคำของเรา, จงบอกกะพระเถระผู้สหายของเราบ้างว่า
‘ท่านอาจารย์ของกระผมทั้งหลาย นมัสการใต้เท้า’” ดังนี้แล้วส่งไป.
ภิกษุเหล่านั้นไปสู่วิหาร
ถวายบังคมพระศาสดาและนมัสการพระอสีติมหาเถระแล้ว ไปสู่สำนักพระคันถิกเถระ เรียนว่า
“ใต้เท้าขอรับ ท่านอาจารย์ของพวกกระผม นมัสการถึงใต้เท้า”
ก็เมื่อพระเถระนอกนี้ถามว่า “อาจารย์ของพวกท่านนั่นเป็นใคร?” ภิกษุเหล่านั้นเรียนว่า “เป็นภิกษุผู้สหายของใต้เท้า ขอรับ.”
พระอรหันต์ผู้เป็นศิษย์ของพระวิปัสสกะคงมีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน
เพราะ เมื่อใดมีพระอรหันต์ผู้เป็นลูกศิษย์ขออนุญาตเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระวิปัสสกะก็สั่งให้ไปเยี่ยมพระคันถิกะทุกครั้ง
พระคันถิกะก็ชักเริ่มสงสัยว่า
ทำไมพระวิปัสสกะผู้อยู่ป่าจึงมีลูกศิษย์มากเหมือนกัน พระวิปัสสกะเอาความรู้อะไรไปสอนศิษย์เหล่านั้น
ก็คิดอยู่ในใจว่า เมื่อไหร่เพื่อนมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าก็จะถามดู
ต่อมาพระวิปัสสกะก็มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
และไปพักอยู่กับพระคันถิกะผู้เป็นสหาย พระคันถิกะก็สบโอกาสที่จะซักถาม
พระพุทธเจ้าทรงทราบเหตุการณ์แล้ว
สงสารพระคันถิกะเพราะจะตกนรกถ้าไปซักถามพระวิปัสสกะ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ก็คงจะซักถามด้วยความหลงตัวเองว่า เรียนพระไตรปิฎกมาเยอะ
ก็คงประมาณพระปริยัติในเมืองไทยที่ดูถูกพระปฏิบัติที่อยู่ตามป่านั่นแหละ
การซักถามด้วยความดูถูกแบบนั้น
จะส่งผลให้ตกนรกได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงไปเยี่ยมเยียนพระภิกษุสองสหายนั้น
ในอรรถกถามีข้อความดังนี้
จึงตรัสถามปัญหาในปฐมฌานกะคันถิกภิกษุ ครั้นเมื่อเธอทูลตอบไม่ได้, จึงตรัสถามปัญหาในรูปสมาบัติและอรูปสมาบัติทั้งแปด
ตั้งแต่ทุติยฌานเป็นต้นไป พระคันถิกเถระก็มิอาจทูลตอบได้แม้ข้อเดียว
พระวิปัสสกเถระนอกนี้ ทูลตอบปัญหานั้นได้ทั้งหมด.
ทีนั้น พระศาสดาตรัสถามปัญหาในโสดาปัตติมรรคกับเธอ.
พระคันถิกเถระก็มิสามารถทูลตอบได้. แต่นั้น จึงตรัสถามกะพระขีณาสพเถระ.
พระเถระก็ทูลตอบได้.
สุดท้ายเลย
อรรถกถาเขียนไว้ดังนี้
“หากว่า นรชนกล่าวพระพุทธพจน์อันมีประโยชน์เกื้อกูลแม้มาก (แต่)
เป็นผู้ประมาทแล้ว ไม่ทำ (ตาม) พระพุทธพจน์นั้นไซร้,
เขาย่อมไม่เป็นผู้มีส่วนแห่งสามัญผลเหมือนคนเลี้ยงโคนับโคทั้งหลายของชนเหล่าอื่น
ย่อมเป็นผู้ไม่มีส่วนแห่งปัญจโครสฉะนั้น,
หากว่า นรชนกล่าวพระพุทธพจน์อันมีประโยชน์เกื้อกูล แม้น้อย (แต่)
เป็นผู้มีปกติประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมไซร้,
เขาละราคะ โทสะ และโมหะแล้ว รู้ชอบ มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว
หมดความยึดถือในโลกนี้หรือในโลกหน้า, เขาย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งสามัญผล”
ก่อนหน้าข้อความดังกล่าว
มีข้อความที่เป็นหัวข้อว่า “พูดมากแต่ไม่ปฏิบัติก็ไร้ประโยชน์”
เรื่องภิกษุสองสหายนี้
เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับนักปริยัติที่ไม่ยอมปฏิบัติธรรม เพราะเข้าข่าย “พูดมากแต่ไม่ปฏิบัติก็ไร้ประโยชน์”
ประเด็นที่เป็นเรื่องแปลกก็คือ
เรื่องภิกษุสองสหาย อรรกถาจารย์เขียนเพื่อเตือนตัวเอง เตือนนักปริยัติ เตือนพุทธวิชาการว่า ที่ทำอยู่นั้น มันประมาท ควรที่จะปฏิบัติธรรม
ปรากฏว่า
นักปริยัติก็เอามาเผยแพร่ต่อ แต่ก็ไม่ยอมปฏิบัติธรรม
มันจึงเป็นเรื่องแปลกสำหรับผม ถ้าว่า นักปฏิบัติธรรมเป็นผู้นำเรื่องนี้มาเผยแพร่ ผมจะไม่ประหลาดใจเลย..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น